ทองคำเป็นธาตุทางเคมีชนิดหนึ่ง ที่ไม่ไวต่อการทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ จึงไม่เกิดเป็นสนิมเหมือนโลหะอื่น มนุษย์นั้นรู้จักใช้ทองคำมานานกว่า 5000 ปีแล้ว ใช้ในการแลกเปลี่ยนค้าขายกัน เป็นสัญญาลักษณ์ของความมั่งคั่ง ร่ำรวย นอกจากเป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยนแล้ว ที่ใช้งานจริงๆในชีวิตประจำวันจริงๆ ก็แค่ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องประดับ งานทันตกรรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ทองคำถือว่าเป็นสกุลเงินสากลก็ว่าได้ หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์นั้นทองคำใช้เป็นเสมือนเงินตราในการแลกเปลี่ยนระหว่างชนชาติต่างๆ เหตุผลหลักๆก็คาดว่าเพราะคุณสมบัติของมันที่มีสีวาวทองสวยงามและ คงรูปไม่เป็นสนิม อีกทั้งยังละลายขึ้นรูปใหม่ได้ตามต้องการ
แต่ในยุคปัจจุบันนั้น ราคาทองคำตกต่ำลงจากในสมัยก่อนมาก เหตุก็เพราะมีการเกร็งกำไรในตลาดทองคำมากเกินไป อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญก็คือ ในปี ค.ศ 1900 สภาคองเกรส ของสหรัฐได้ประกาศใช้ ทองคำค้ำประกันสกุลเงินที่ต้องการพิมพ์ออกมาใช้งาน พูดง่ายๆก็ หากต้องการพิมพ์เงินใช้ในประเทศจะต้องวางจำนวนทองคำค้ำประกันไว้ก่อน ทำให้ราคาทองคำวิ่งสูงขึ้นไปเยอะ แต่หลังจากนั้นผ่านไป ประเทศสหรัฐ ขาดดุลการค้าหรือก็คือประเทศเริ่มขาดทุนถังแตก เลยทำการยกเลิกในปี ค.ศ 1971 โดย ประธานาธิบดี Richard M. Nixon ทำให้เกิดความวุ่นวายในตลาดทองคำ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากสหรัฐก็จะเห็นว่าสิ่งสำคัญของทองคำคือการใช้ต่อสู้กับพิษเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ หรือ ความต่างของสกุลเงิน หากพูดง่ายๆก็เช่น หากปัจจุบัน ทอง 1 บาท อยู่ที่ประมาณ 600 USD (1 USD เท่ากับ 31.93 บาท) แต่หากเศรษฐกิจไทยอ่อนแอ่ จนสกุลเงินไทยแย่มาก 1 USD วิ่งไป 40 บาทอะไรในประเทศมันก็คงแย่ไปหมด แต่ทองคำราคาไม่เปลี่ยนเลยอยู่ที่ 600 USD เหมือนเดิม ซึ่งหากคุณมีทองคำอยู่คุณก็จะไม่โดนผลกระทบจากความเชื่อมั่นหรือความต่างของสกุลเงินเลย
จุดเด่นอีกอย่างของทองคำคือการต่อสู้กับเงินเฟ้อ เงินเฟ้อนั้นเกิดจากการที่ประเทศพิมพ์เงินออกมากเกินความเป็นจริง หรือพูดง่ายๆก็การด่อยค่าของเงินนั้นเอง หากลองคิดแบบง่าย ถ้าทองคำ 1 บาทสามารถแลกข้าวได้ 500 จานที่จานละ 40 บาทเวลาผ่าน 10 ปี ข้าวอาจจะจาน 80 บาทแล้วก็ได้ แต่ราคาทองคำมันจะวิ่งหาความจริงหาก 10 ปีที่ผ่านไปนั้น ไม่มีการค้นพบแหล่งทองคำมหาศาลจนใครๆๆก็เอาทองมาถือเล่นๆๆผมเชื่อว่าทองคำ 1 บาทก็จะสามารถแลกเป็นข้าวได้ 500 จานที่ราคา 80 บาทได้แน่นอนเหมือนเดิม